ในปัจจุบันพบว่าคนที่มีปัญหาภาวะตาแห้งเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งพฤติกรรมการใช้สายตาที่ทำให้คนส่วนใหญ่เกิดภาวะตาแห้ง คือ การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือหน้าจอโทรศัพท์มือถือเป็นระยะเวลานาน ลักษณะอาการของภาวะตาแห้ง เช่น ความรู้สึกไม่สบายตา คันตา แสบตา ระคายเคืองตา หรือ รู้สึกเหมือนมีทรายอยู่ในตา ซึ่งในปัจจุบัน วิธีรักษาภาวะตาแห้งนั้นทำได้หลายวิธี ทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สายตา หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่อาจทำให้ตาแห้ง การประคบอุ่น หรือปรึกษาจักษุแพทย์ แต่วิธีที่เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้นการใช้น้ำตาเทียม
ในเมื่อการใช้น้ำตาเทียมต้องสัมผัสกับอวัยวะที่สำคัญอย่างดวงตาของเราโดยตรง
ก่อนที่เราจะใช้น้ำตาเทียม เราควรที่จะศึกษา ทำความเข้าใจ เกี่ยวกับประโยชน์และข้อแตกต่างของน้ำตาเทียมแต่ละแบบแต่ละประเภท
ให้มากขึ้นกันดีกว่า
น้ำตาเทียม คือ สารให้ความชุ่มชื้นและหล่อลื่นแก่ดวงตา มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติ ใช้เพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองตา ตาแห้ง การใช้น้ำตาเทียม จึงมีประโยชน์
ในกลุ่มคนที่มี ภาวะตาแห้งที่เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น, ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด, การผ่าตัดรักษาดวงตาบางอย่าง และคนที่อยู่ในบริเวณที่มีอากาศแห้ง
มีฝุ่นควัน หรือ มีลมแรง เป็นต้น
หากสังเกตดูข้างกล่องน้ำตาเทียม จะเห็นว่ามีชื่อสารต่างๆมากมาย ซึ่งแยกเป็นส่วนประกอบหลักๆ คือ
1.สารให้ความชุ่มชื่นหล่อลื่นดวงตา
2.สารที่ทำให้น้ำตาเทียมมีคุณสมบัตคล้ายน้ำตาธรรมชาติที่ร่างกายผลิต
3.สารกันเสีย(พบได้ในน้ำตาเทียมบางชนิด)
"เพราะเชื้อโรคนั้นมีอยู่ทุกที่แม้กระทั่งในอากาศ"
ทุกครั้งที่เราเปิดขวด หรือ สัมผัสบริเวณปากขวดน้ำตาเทียม คือ การเปิดโอกาสให้เชื้อโรคต่างๆเข้าไปปนเปื้อนและเจริญเติบโตอยู่ในขวดน้ำตาเทียมได้ ทำให้อันตรายต่อดวงตาเป็นอย่างมาก หากนำน้ำตาเทียมที่ปนเปื้อนเชื้อโรคมาใช้งาน
เพื่อแก้ปัญหานี้ สารกันเสีย/สารกันบูด จึงถูกนำมาใช้
เพราะสารกันเสียสามารถทำลายและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค
จึงช่วยให้น้ำตาเทียมที่เหลือในขวดสะอาด
ปราศจากเชื้อและยืดอายุน้ำตาเทียมให้ใช้งานได้นานขึ้น
ดูๆไปแล้วน้ำตาเทียมแบบที่มีการใส่สารกันเสียก็นับเป็นตัวเลือกที่ดี
แล้วทำไมถึงต้องมีน้ำตาเทียมแบบที่ไม่มีการใส่สารกันเสียด้วย?
แม้สารกันเสียจะถูกคิดค้นและพัฒนาให้มีความปลอดภัยกับดวงตามากขึ้น
แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดการระคายเคืองที่ส่งผลต่อเซลล์เยื่อบุกระจกตาออกไปได้ทั้งหมด
ในผู้ใช้บางรายจึงอาจเกิดอาการระคายเคืองต่อเซลล์เยื่อบุกระจกตา เพราะแพ้สารกันเสียที่ผสมอยู่ในน้ำตาเทียม โดยเฉพาะผู้ใส่คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม (Soft Contact Lenes) ไม่ควรใช้น้ำตาเทียมที่มี สารกันเสีย Benzalkonium Chloride หรือเรียกสั้นๆว่า BAK
เพราะ BAK จะถูกดูดซึมเข้าไปในเนื้อคอนแทคเลนส์ ทำให้เซลล์กระจกตาถูกทำลายเนื่องจากสัมผัสกับสารกันเสียนานเกินไป ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง แสบตา ตาแดง น้ำตาไหล
สำหรับคนที่เสี่ยงต่อการแพ้น้ำตาเทียม หรือ มีประวัติการแพ้น้ำตาเทียม การใช้น้ำตาเทียมแบบไม่มีสารกันเสีย จึงเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่า
ในเมื่อน้ำตาเทียมมีหลากหลายแบบ แล้วจะรู้ได้ไงว่าต้องใช้น้ำตาเทียมแบบไหน??
แนะนำให้ยึดหลักง่ายๆ คือ ลักษณะเนื้อผลิตภัณฑ์ และ อาการตาแห้งมาก-น้อยแค่ไหน
1.สารละลาย - เรียกง่ายๆคือ แบบน้ำ เป็นชนิดที่ได้รับความนิยม เนื่องจากใช้ง่าย หลังหยอดไม่ทำให้ตามัวหรือตาพร่า ไม่เหนอะหนะ แต่เพราะเนื้อบางเบากว่า จึงให้ความชุ่มชื้นแก่ตาได้แค่ระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ต้องหยอดบ่อย มีทั้งแบบใช้หลายครั้งและแบบใช้ครั้งเดียว เหมาะกับ คนที่ตาแห้งน้อย-ปานกลาง
-แบบใช้หลายครั้ง มักจะพบในรูปแบบขวด
มีปริมาณเยอะกว่าแบบใช้ครั้งเดียว
● ส่วนใหญ่มักจะมีอายุการใช้งาน 30 วัน หลังเปิดใช้งานครั้งแรก / บางคนอาจจะเรียกว่า น้ำตาเทียม รายเดือน เพราะมีอายุการใช้งาน 30 วัน
คล้ายกับคอนแทคเลนส์
แบบรายเดือน (อายุการใช้งานอาจแตกต่างกันตามผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด)
ราคาถูก แต่มีสารกันเสีย
● ราคาถูก แต่มีสารกันเสีย จึงแนะนำว่าไม่ควรใช้เกิน 4 ครั้ง/วัน เพื่อไม่ให้เกิดการแพ้น้ำตาเทียม
เหมาะกับ คนที่ตาแห้งน้อย ไม่ต้องหยอดน้ำตาเทียมบ่อย(ไม่เกิน 4 ครั้ง/วัน)
-แบบใช้ครั้งเดียว มักจะพบในรูปแบบหลอด
หรือบางคนอาจจะเรียกว่า แบบกระเปาะ
● มีอายุ 12-24 ชั่วโมงหลังเปิดใช้งานครั้งแรก / บางคนอาจจะเรียกว่า น้ำตาเทียม รายวัน เพราะมีอายุการใช้งาน ประมาณ 1 วัน คล้ายกับคอนแทคเลนส์แบบรายวัน(อายุการใช้งานอาจแตกต่างกันตามผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด)
● ราคาสูง ไม่มีสารกันเสีย ใช้หยอดได้บ่อยโดยไม่เกิดผลเสียต่อสุขภาพตา
เหมาะกับ คนที่ตาแห้งปานกลาง-มาก, หยอดน้ำตาเทียมบ่อย(มากกว่า 4 ครั้ง/วัน),ใช้น้ำตาเทียมติดต่อกันเป็นเวลานานๆ, ตาระคายเคืองง่าย, เคยมีประวัติแพ้น้ำตาเทียมมาก่อน,ใช้หลังการผ่าตัดดวงตา
2.เจลหรือขี้ผึ้ง - เนื้อหนืด ให้ความชุ่มชื่นมากกว่าแบบน้ำ แต่ทำให้ตามัวลงเล็กน้อยหลังหยอด ต้องรอสักครู่ถึงจะกลับมามองชัดเป็นปกติ
เหมาะกับ คนที่ตาแห้งมาก,ผู้ที่ปิดตาไม่สนิทขณะนอนหลับ และแนะนำให้ใช้ในเวลากลางคืนมากกว่า เพื่อไม่ให้รบกวนการมองเห็น
เมื่อรู้จักและเลือกน้ำตาเทียมได้แล้ว ก็ถึงเวลาหยอดน้ำตาเทียมเข้าตาแล้ว
วิธีใช้น้ำตาเทียมและข้อควรระวังนั้น ติดตามกันต่อในบทความตอนที่2 ได้เลยค่ะ
ผู้เขียน ศูนย์สายตาสว่าง
----------
References
Kierstan Boyd. Lubricating Eye Drops (2018).
Alaina L. Softing Hataye, O.D. Artificial tears: How to select eyedrops for dry eyes (2019).
Kathryn Watson. What to Know About Preservative-Free Eye Drops, Plus Products to Consider (2019).
Malik Y. Kahook, MD, Aurora, Colo. The Pros and Cons of Preservatives (2015).
Are Preservative-Free Eye Drops Better for You? (2019).
Maxine Lipner. A clear-eyed view of preservatives in tears (2014).
Karen Walsh and Lyndon Jones. The use of preservatives in dry eye drops (2019).
นศภ. จิรัชญา เตชะพิริยะกุล. “ตาแห้ง”กับน้ำตาเทียม.
บ้านยาหนึ่ง. น้ำตาเทียมเลือกอย่างไรให้ถูก? (2019).